วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

คุณค่าของป่า ที่ควรรักษาไว้ให้กับอนาคต


          ป่าชายเลน หรือ ป่าโกงกาง ขึ้นอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุด และน้ำขึ้นสูงสุด บริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำ หรืออ่าว ป่าชายเลนเป็นสังคมพืช ที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด หลายตระกูล และเป็นพวกที่มีใบเขียวตลอดทั้งปี ซึ่งใบไม้พวกนี้มีลักษณะทางสรีรวิทยา และความต้องการสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ประเภทไม้โกงกางเป็นหลัก และมีไม้ตระกูลอื่นปนบ้างเล็กน้อย


          ป่าชายเลน นับวันจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะว่านับวันยิ่งมีน้อยลง ลดลงทุกที ในประเทศไทยใช้ทรัพยากรป่าชายเลน ทั้งทางด้านป่าไม้ และด้านการทำประมง โดยเฉพาะเป็นแหล่งขยายพันธุ์พืช ขยายพันธุ์สัตว์น้ำ และสัตว์ป่า

          การต่อยอดจากป่าชายเลน ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมากมาย ก็คือ การนำไม้จากป่าชายเลน โดยเฉพาะไม้โกงกางมาทำถ่าน นอกจากนี้ยังนำไปใช้ทำเสาเข็ม สร้างบ้านได้อีกด้วย 


          สำหรับในด้านการประมง ป่าชายเลนถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญต่อสัตว์น้ำนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู และปลา วงจรชีวิตของสัตว์น้ำเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับป่าชายเลนตลอด ทั้งในด้านเป็นที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ และสำคัญในด้านการเจริญเติบโต

          ป่าชายเลนสามารถผลิตอาหาร และแร่ธาตุหลายชนิด โดยได้จากการร่วงหล่น และสลายตัวของเศษไม้ เศษใบไม้ ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลน จะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์น้ำกับป่าชายเลนนั้นมีมากมาย หากมีการทำลายป่าชายเลน ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านี้จะหมดไป และในที่สุด ทรัพยากรสัตว์น้ำก็จะลดปริมาณลง และหมดสิ้นไปในที่สุด

          ในปัจจุบัน ป่าชายเลนได้ถูกทำลายลง เพราะการขยายตัวของประชากรมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น  ดังนั้นป่าชายเลนจึงถูกทำลายด้วยกิจกรรมต่างๆของมนุษย์อยู่เป็นประจำ พื้นที่ป่าชายเลนบางที่ยังคงมีความสมบูรณ์อยู่ และมีบางที่ ที่มีชุมชนเข้าไปอยู่อาศัย และใช้ประโยชน์ต่างๆจากป่าชายเลน เช่น เลี้ยงสัตว์น้ำ ทำบ่อกุ้ง นากุ้ง และตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำไปขาย หรือบางคนก็นำที่ดินไปขายให้กับเอกชน จนไม่เหลือพื้นที่ไว้สำหรับปลูกป่าชายเลน


" หากในอนาคตไม่มีป่าชายเลน จะเป็นอย่างไร ? "

          หากวันหนึ่ง ป่าชายเลนถูกทำลายจนหมด จะส่งผลกระทบในหลายๆด้านเป็นอย่างมาก ทั้งด้านกายภาพและเคมีภาพ เช่น อุณหภูมิของน้ำจะเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติ ปริมาณธาตุอาหารหายไป ความเค็มของทั้งน้ำ และดิน รวมทั้งการขึ้นลงของน้ำทะเล และการเกิดพายุ อีกด้านคือจะส่งผลกระทบทางด้านชีวภาพ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ผลกระทบต่อความสมดุลต่อระบบนิเวศ  การสืบพันธุ์ของสัตว์ การเจริญเติบ และการทำลายที่อยู่ของสัตว์นานาชนิด การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศป่าชายเลน รวมทั้งระบบนิเวศบริเวณชายฝั่งและใกล้เคียง

          ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องช่วยกันอนุรักษ์ป่าชายเลนเอาไว้ การอนุรักษ์ป่าชายเลนสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การส่งเสริมความร่วมมือของประชาชนในท้องถิ่น ในด้านการอนุรักษ์และพัฒนาป่าชายเลน ด้วยวิธีการให้ความรู้ ความ เข้าใจ ที่จะก่อให้เกิดจิตสำนึกและเห็นความจำเป็นในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรป่าชายเลน , ส่งเสริม และสนับสนุน ให้มีการปลูก และฟื้นฟูป่าชายเลน , ขยายพันธุ์ไม้ป่าชายเลนให้มีความหลากหลาย และอื่นๆ


          แต่เราในฐานะประชากรธรรมดาๆคนหนึ่ง ก็คงทำได้เพียงร่วมรณรงค์การปลูกป่าชายเลน เข้าร่วมกิจกรรมการปลูกป่าชายเลน และปลูกฝังตัวเราเองให้มีจิตสำนึกที่ดีไม่ทำลายป่า เพียงเท่านี้ ถึงจะดูเล็กๆน้อยๆ แต่เราสามารถทำได้ และทุกๆคนก็สามารถทำได้ และถ้าหากทุกคนร่วมมือกัน ป่าชายเลนต้องกลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิมอย่างแน่นอน





เอกสารอ้างอิง
ข้อมูลเพิ่มเติม และรูปภาพประกอบ สืบค้นจาก http://www.kroobannok.com/ , http://www.prthai.com/

กาลครั้งหนึ่ง...ฉันเคยไปเที่ยวขลุง

          เช้าวันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2559 ฉันและเพื่อนๆ ตื่นเช้าไปมหาวิทยาลัยด้วยความงัวเงีย เพราะความเหนื่อยล้าจากการไปทัศนศึกษานอกสถานที่ครั้งก่อนที่ประจวบคีรีขันธ์ แล้ววันนี้ต้องตื่นเช้าไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือ "จังหวัดจันทบุรี"

          จากการดูรูปที่พักผ่านเว็ปไซต์ และได้ทราบมาว่าต้องอยู่แบบโฮมสเตย์ ยิ่งทำให้ตัวฉันกับกลุ่มเพื่อนไม่อยากไปเข้าไปใหญ่ เพราะคิดว่าน่าจะลำบาก และอากาศร้อนสุดๆอย่างแน่นอน แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องไป พวกเราจึงตกลงกันว่า " ไปก็ได้! ถือว่าไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็แล้วกัน "

          เริ่มออกเดินทางตอนช่วงสาย ทั้งๆที่นัดกันในเวลาเจ็ดโมงเช้า สาเหตุที่ต้องเลื่อนเวลาออกไปนั้นเป็นเพราะว่ามีคุณเพื่อนคนหนึ่งตื่นสาย และมาไม่ทันเวลารถออก จึงต้องจอดรอก่อนจนกว่าเพื่อนจะมาถึง เริ่มสาย จราจรก็เริ่มติดขัด ทำให้ระยะเวลาการเดินทางไปจังหวัดจันทบุรีนั้นยืดยาวออกไปอีก

          เมื่อถึงจังหวัดจันทบุรี และเริ่มออกนอกตัวเมืองเพื่อจะไปยังจุดมุ่งหมาย นั่นก็คือ "อำเภอขลุง" ทางก็เริ่มที่จะลึกลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น สองข้างทางมีแต่ต้นไม้กับน้ำ พวกเราเริ่มหันมองหน้ากัน พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นในวงสนทนาว่า " โอ้โห! นี่เรามาอยู่ในป่าหรอ ? "  " ตลอดทางมามีใครเห็นร้านเซเว่นอีเลฟเว่นบ้างไหม ? "   และ  " ที่พักจะหน้าตาเป็นอย่างไรนะ ? "


          การเดินทางเข้าไปยังที่พักค่อนข้างทำให้พวกเรายิ่งจินตนาการถึงที่ที่เราจะต้องนอนกันในคืนนี้เลวร้ายมากขึ้นไปอีก เพราะเส้นทางเกือบทั้งเส้นเป็นถนนลูกรัง และสะพานเล็กๆ สองข้างทางเป็นน้ำ บ่อกุ้ง และป่าไม้ ต้องเปลี่ยนจากรถบัสที่ใช้เดินทางมา เป็นรถกระบะของชาวบ้านแทน เพราะทางค่อนข้างแคบ รถใหญ่อย่างรถบัสไม่สามารถเข้าไปได้

          และแล้ว เราก็มาถึงจุดมุ่งหมายของเรา "ขาหย่างโฮมสเตย์" ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่พวกเราคิดตั้งแต่ก่อนมานั้น พวกเราคิดไปเองทั้งหมด อย่าตัดสินที่นี่เพียงเพราะภาพถ่ายในเว็บไซต์ไม่สวย แม้วันนี้จะอากาศร้อน แต่ที่นี่กลับไม่ร้อนเลยสักนิด ถึงแม้จะมีแสงแดด แต่ลมทะเลที่พัดพามา และรอยยิ้มกับการต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดีของชาวบ้านที่นี่ กลับทำให้ทุกอย่างนั้นดูเย็นสบายไปหมด

          เมื่อไปถึง ชาวบ้านที่ดูแลโฮมสเตย์แห่งนี้ ได้ทำอาหารเตรียมรอพวกเราไว้ก่อนหน้าแล้ว ชาวบ้านที่นี่ใจดีทุกคน ดูแลพวกเราดีมาก และสิ่งที่ประทับใจที่สุด!! นั่นก็คืออาหารนั่นเอง อาหารทะเลสดใหม่ อร่อยมากๆ มีให้เราเลือกกินอย่างหลากหลาย และสามารถเติมได้ไม่อั้นอีกด้วย ทุกมื้อที่ได้มาอยู่ที่นี่จึงเป็นมื้อที่พวกเราทานข้าวกันจนหมดเกลี้ยง ส่วนกับข้าวก็เติมแล้วเติมอีก อิ่มกันจนพุงกาง

อาหารกลางวัน ได้แก่ กุ้งสดๆเนื้อแน่นๆ ปลาทอด ต้มยำปลา
พริกเกลือ(น้ำจิ้มซีฟู๊ด) น้ำพริกปลา และห่อหมกที่เป็นพระเอกของมื้อนี้ ฯลฯ

มื้อเย็น และยาวไปจนมื้อดึก ได้แก่ กุ้งแช่น้ำปลารสเด็ด

ปลาหมึก พร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ด ซึ่งชาวบ้านแถวนี้เรียกว่า "พริกเกลือ"

ปูสดๆ และ ทอดมัน

          พวกเราได้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน ทั้งล่องแพไปชมทะเลแหวก แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นทะเลแหวกเพราะน้ำขึ้นซะก่อน ทั้งการไปปลูกป่าชายเลนท่ามกลางพระอาทิตย์ที่ไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ แต่กิจกรรมเหล่านี้ ทำให้พวกเราทุกๆคนจากคนที่ไม่เคยพูดคุยกันก็ได้มาคุยกัน จากที่รู้จักกันอยู่ก่อนแล้วก็สนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม ทุกกิจกรรมสร้างแต่รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้พวกเราตลอดเวลา มีแต่เรื่องตลกๆมาเล่าสู่กันฟัง รวมทั้งเรื่องตลกที่เกิดขึ้นในทริปนี้ก็สร้างความทรงจำดีๆให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก 

          ตลอดสองวันหนึ่งคืนที่ได้อยู่ที่นี่ ทุกคนมีแต่ความสุข แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องต่างชั้นปี เพื่อนร่วมชั้นปี และอาจารย์ขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว ความผูกพันธ์ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น รู้จักนิสัยใจคอกันมากกว่าเดิม ทำให้เรารักกันมากขึ้นกว่าเดิม และนั่นก็คือสิ่งที่วิเศษที่สุดในการมาร่วมทริปในครั้งนี้ 

ล่องแพไปดูทะเลแหวก และลงเล่นน้ำกันกลางทะเล

ทั้งเล่นน้ำ และถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน :)

สนุกเหมือนได้เล่นบานาน่าโบ๊ทเลย

กระชับความสัมพันธ์ระหว่างชั้นปี

หรือต่างชั้นปีก็รู้จัก รู้ใจ สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น

ปลูกป่าชายเลนกันในยามเช้า


...ความรัก ความสุข รอยยิ้ม และความผูกพันธ์...

" Journalism And New Media "




วิถีชาวเล เสน่ห์ของ "ขลุง"

           แสงอรุณเริ่มสว่าง... ทุกชีวิตที่นี่ต่างตื่นขึ้นมาพร้อมกับทำหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเอง ชาวบ้าน และนักท่องเที่ยว ร่วมกันตักบาตรพระที่มาบิณฑบาตช่วงเช้าตรู่ ใช้ชีวิตใน "ขลุง" อันแสนสงบสุข สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ...


          อำเภอขลุง เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี คำว่า "ขลุง" หมายถึงพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมถึง เดิมชาวขลุงมีอาชีพทำนาและประมง ปัจจุบันมีการปลูกผลไม้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน

          ตามตำนานที่เล่าขานต่อกันมาว่า... ชาวขลุงมีเชื้อสายมาจาก "ชอง" มีภาษาพูดเป็นภาษาชอง ซึ่งแตกต่างจากภาษาเขมรและภาษาไทย ชาวชองเป็นชนเผ่าโบราณอีกเผ่าหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ ออสโตร-เอเชียติก ตระกูลมอญ-เขมร อยู่กันมากแถบเชิงเขารอยต่อกับกัมพูชา อาทิเช่น ที่บริเวณเขาสอยดาวเหนือ บ้านคลองพลู บ้านคลองน้ำเป็น ใกล้น้ำตกกะทิง อำเภอเขาคิชฌกูฏบ้านวังแซม บ้านปิด อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี

          ปัจจุบันชาวชองนี้ ได้ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่เหมือนกับคนทั่วไป ถูกเรียกว่า ชาวไทยซอง เพราะออกเสียง ช.ช้าง ไม่ถนัด และมีภาษาใกล้เคียงกับภาษาชองคือภาษาป่า จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย ที่เราจะฟังภาษาของชาวบ้านแถวนี้ไม่ค่อยถนัดนัก


          ชาวบ้านที่นี่จะปลูกบ้านติดๆกันอยู่ริมน้ำ แต่บางหลังเรียกได้ว่าอยู่กลางทะเลเลยด้วยซ้ำ ล้อมรอบไปด้วยป่าชายเลน และภูเขา ทำให้ที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ติดชายฝั่งทะเลเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีความเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน

          การประกอบอาชีพของชาวบ้านที่อยู่ริมชายฝั่งทะเลนั้น มีทั้งทำอาชีพแบบดั้งเดิม และแบบสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แบบดั้งเดิมนั้นก็เช่น การทำประมง ออกเรือหาปลา แต่ทั้งนี้การออกเรือหาปลาก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หรือคลื่นลมทะเล และจะมีช่วงฤดูหนึ่งคือฤดูผสมพันธุ์ปลา ซึ่งต้องทำการงดจับปลาตามกฎหมายของกรมประมง เนื่องจากจำนวนประชากรปลาจะได้ไม่ลดน้อยลงจนสูญพันธุ์ไป ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านบางส่วนจึงเลิกทำประมง และหันมาทำอาชีพอื่นแทน

          แต่ถ้าจะให้หันไปทำงานโรงงาน หรืองานออฟฟิตก็ไม่ได้ เพราะการเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างที่จะลึกลับซับซ้อน เดินทางไกล และลำบากหากไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ในเมื่อออกไปไม่ได้ จึงเลือกให้คนอื่นนั้นเข้ามาหาแทน นั่นก็คือ "การเปิดโฮมสเตย์" นั่นเอง


          โฮมสเตย์แบบชาวเล นั่งชิลล์ มีอาหารทะเลสดๆให้ทาน และมีกิจกรรมต่างๆมากมาย เช่น ล่องแพไปดูทะเลแหวก ปลูกป่าชายเลน พายเรือคายัค และอื่นๆ ที่สำคัญอาหารทะเลที่ทานนั้น นอกจากความสด และอร่อยสุดๆแล้ว ยังสามารถเติมได้ไม่อั้นอีกด้วย เนื่องจากกุ้ง หอย ปู ปลา ต่างๆนั้น ชาวบ้านได้เลี้ยงไว้เองในบ่อ ไม่ว่าจะทานจุแค่ไหนก็มีไว้บริการเพียงพอต่อความต้องการเสมอ

          และข้อดีของการได้อยู่โฮมสเตย์แบบชาวเล คือได้อยู่แบบเป็นกันเองกับชาวบ้าน ทุกคนในชุมชนอยู่แบบพี่น้อง ถ้อยทีถ้อยอาศัย คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จึงสร้างความอบอุ่นเป็นกันเองให้กับนักท่องเที่ยวที่มาพักอาศัย ได้สัมผัสอากาศดีๆ ถ่ายรูปสวยๆ นักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อย แต่อยากมาเที่ยวแบบพักผ่อนหย่อนใจ เป็นธรรมชาติ จึงเลือกที่จะมาท่องเที่ยวที่โฮมสเตย์อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ชาวบ้านจึงมีรายได้จากตรงนี้เป็นรายได้รองจากการทำประมง

บุฟเฟ่ต์สดๆ จากทะเล ทานให้พุงกาง เพราะเติมได้ไม่อั้น

กิจกรรมปลูกป่าชายเลนสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ

ควรเตรียมหมวก และเสื้อแขนยาว พร้อมลุย

ล่องแพ กินลม ชมวิว สามารถลงเล่นน้ำได้ตามสบาย


เอกสารอ้างอิง
ข้อมูลเพิ่มเติม (ของคำว่าขลุงและชอง) สืบค้นจาก https://th.wikipedia.org

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

เรื่องราวมากมาย ให้ภาพนั้นอธิบายให้ฟัง...


" อาบลม ห่มคลื่น ... สิ่งที่ฝืนจงทิ้งลงทะเล "



" SLOW LIFE IN BUSY TOWN "



" ชีวิตที่ดีพอ คือชีวิตที่รู้จักพอ "



ชีวิตก็เหมือนกับการเดินทางสู่ท้องทะเลกว้าง "



" มองเห็นเพียงแต่ขอบฟ้าไกล แต่ก็ยังหวังไว้ สักวันฝันจะเป็นจริง "


สัมผัสธรรมชาติ...ที่เมืองพระเจ้าตากสิน

“ น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้ พริกไทยพันธุ์ดี อัญมณีมากเหลือ เสื่อจันทบูร สมบูรณ์ธรรมชาติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวมญาติกู้ชาติที่จันทบุรี ”


หากพูดถึงจังหวัดจันทบุรี สิ่งที่หลายๆคนน่าจะนึกถึง ก็คงอาจจะเป็น 
ทะเล น้ำตก ภูเขา เพชรพลอย หรือ ผลไม้…


          จังหวัดจันทบุรี หรือที่เรียกกันว่า เมืองจันท์ นั้น มีความหมายว่า “เมืองที่สงบร่มเย็น เช่นเดียวกับเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์” โดยมีตราประจำจังหวัดเป็นดวงจันทร์กำลังส่องแสง มีกระต่ายน้อยอยู่ตรงกลาง

           จังหวัดจันทบุรีเป็นจังหวัดทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย สภาพภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบลุ่มน้ำ และที่ราบชายฝั่งทะเล ดังนั้นจึงทำให้สภาพอากาศของจังหวัดจันทบุรีสบายตลอดทั้งปี ร้อนก็ไม่ร้อนมาก หนาวก็ไม่หนาวจนเกินไป จังหวัดจันทบุรีนั้นมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดฉะเชิงเทรา และสระแก้วทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดตราด และประเทศกัมพูชา ทิศใต้ติดกับอ่าวไทย ส่วนทิศตะวันตกติดกับจังหวัดระยองและชลบุรี หากได้มาท่องเที่ยวที่จังหวัดนี้ก็จะได้สัมผัสทั้ง ป่าไม้ ภูเขา น้ำตก และทะเล เที่ยวได้แบบครบครัน ประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินทางไกลอีกด้วย

          จังหวัดจันทบุรี เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพมากที่สุดของไทย ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง หากว่าอยากจะรับประทานขึ้นมาล่ะก็ ต้องผลไม้ที่มาจากเมืองจันท์เท่านั้น โดยเฉพาะทุเรียน ที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งที่ปลูกทุเรียนที่มีคุณภาพ และมีความอร่อยมากที่สุด ใครที่ได้มาเมืองจันท์ก็พลาดไม่ได้ที่จะซื้อผลไม้เมืองจันท์ หรือผลไม้แปรรูปเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับไปทุกราย

" งานมหกรรมทุเรียนโลกจันทบุรี " มีการจัดขึ้นทุกปี ภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ เช่นการประกวดแพประดับผลไม้ รถประดับผลไม้ การประกวดธิดาชาวสวน การประกวดผลไม้ การประกวดสุนัขสายพันธุ์แสนรู้ การออกร้านจำหน่ายอัญมณี กลุ่มแม่บ้านเกษตร

" ทุเรียนทอดกรอบ " ผลไม้แปรรูปที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝากมากที่สุด

          แต่จันทบุรีนั้นก็ไม่ได้มีดีแค่ผลไม้แต่เพียงอย่างเดียว ด้านพืชผลทางการเกษตรก็ไม่ได้น้อยหน้าจังหวัดอื่นใด เพราะเมืองจันท์นั้นเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ปลูกอะไรก็ได้ผลผลิตที่งอกงาม อย่างเช่น พริกไทยพันธุ์ดี และ ต้นกก ที่นำมาแปรรูปเป็นเสื่อจันทบูร หนึ่งในของดีจังหวัดจันทบุรี

จันทบุรีเป็นแหล่งปลูกพริกไทยที่สำคัญ โดยมีพื้นที่ปลูกประมาณร้อยละ 95 ของพื้นที่ปลูกทั่วประเทศ

          เสื่อจันทบูร เรียกได้ว่าเป็นสินค้า OTOP ของดีอีกอย่างหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ เหมาะแก่การซื้อไปเป็นของฝาก หรือซื้อไปใช้เองก็ได้เช่นกัน เสื่อจันทบูรเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปมาจากต้นกก เพื่อเป็นการหารายได้เสริมให้กับเกษตรกรชาวไร่ชาวสวนจังหวัดจันทบุรี และยังเป็นการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้านอีกด้วย

การทอเสื่อของศูนย์อนุรักษ์หัตถกรรมพื้นบ้านการทอเสื่อจันทบูร นิยมทอเสื่อจันทบูรโดยนำต้นกกซึ่งมีอยู่มากในบริเวณนี้ มาตากแห้ง ย้อมให้เป็นสีสันสวยงาม และทอเป็นเสื่อ

นอกจากเสื่อจันทบูรแล้ว ชาวบ้านยังได้ดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งของใช้ ของประดับตกแต่ง เช่น ตัดเย็บเป็นกระเป๋าสะพาย กระเป๋าสตางค์ กล่องใส่กระดาษทิชชู่ เหมาะนำไปเป็นของฝากของที่ระลึก

          และแน่นอน สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยสำหรับการมาเยือนจังหวัดจันทบุรี นั่นก็คือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจในจังหวัดจันทบุรี อย่างเช่น ชายหาดสวยๆที่"หาดเจ้าหลาว" และ "อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว" น้ำตกมหัศจรรย์ที่เย็นสบายตลอดทั้งปี

หาดทรายแสนสวย เงียบสงบ ที่หาดเจ้าหลาว

หาดเจ้าหลาว

          หาดทรายสวยสีนวลสบายตา บรรยากาศเงียบสงบ กว้างใหญ่ และยาวเหยียดจนสุดสายตา ร่มรื่นด้วยทิวมะพร้าว เหมาะกับการพักผ่อนในวันสบายๆเป็นอย่างยิ่ง มีเรือท้องกระจกและเรือเร็วบริการนำนักท่องเที่ยว ไปชมแนวปะการังน้ำตื้นที่อยู่ห่างจากฝั่งไปเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งนับเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ง่ายนัก เพราะโดยปกติแล้วปะการังจะเกิดในบริเวณที่เป็นเกาะเท่านั้น เนื่องจากมีการไหลเวียนของกระแสน้ำพอเหมาะ อุณหภูมิเหมาะสม และไร้มลพิษ การพบปะการังบริเวณใกล้แนวชายฝั่ง จึงสะดวกต่อการเดินทางไปชมซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง



ความสวยงามของน้ำตกพลิ้ว พร้อมทั้งปลานานาชนิด

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว

          อยู่ในเขตอำเภอแหลมสิงห์ บนเทือกเขาสระบาป มีเนื้อที่ทั้งหมด 84,063 ไร่ (134.5 ตารางกิโลเมตร) ประกอบด้วยป่าที่สมบูรณ์ เทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ทำให้มีอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี พันธุ์ไม้ต่างๆ ที่พบเช่น ขนุนป่า กระท้อนป่า พิมเสนขึ้นอยู่ทั่วไป และยังมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อีกมากมาย ที่เห็นได้บ่อยคือ หมูป่า เลียงผา พังพอน กระแต หมีควาย ชะนี ลิง ฯลฯ และยังเป็นที่อยู่ของปลานานาชนิด เช่น ปลาพลวง ปลาดุก ปลาฉาก

          นอกจากหาดเจ้าหลาว และ อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วแล้ว จันทบุรียังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รวมทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย อาทิเช่น อุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฏ หาดคุ้งวิมาน น้ำตกเขาสอยดาว บ่อน้ำพุร้อน วัดเขาสุกิม ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน และอื่นๆอีกมายมากเลยทีเดียว

น้ำตกเขาสอยดาว

วัดเขาสุกิม

ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว จังหวัดจันทบุรี ยังมีสถานที่ท่องเที่ยว และ สิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย
รู้จักจันทบุรีกันมากขึ้นแล้ว ... ก็อย่าลืมไปท่องเที่ยวที่จังหวัดนี้กันนะคะ
ถึงแม้จะมีชื่อเสียงไม่เท่าจังหวัดอื่น
แต่ถ้าลองไปสัมผัสแล้ว จะติดใจจนต้องกลับมาใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอนค่ะ




เอกสารอ้างอิง
ข้อมูลเพิ่มเติม และรูปภาพประกอบ สืบค้นจาก : 
http://www.chanthaburi.go.th/ , การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย http://thai.tourismthailand.org/

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

การสร้างคอนเทนต์สำหรับงานนิเทศศาสตร์อย่างมืออาชีพ

        คำว่า คอนเทนต์ (content) แปลตรงตัวก็คือเนื้อหา ซึ่งในงานนิเทศศาสตร์อาจจะอยู่ในรูปแบบของบทความ ภาพถ่าย ภาพวาด หรือวิดีโอก็ได้ คอนเทนต์นับเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับงานด้านนิเทศศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นตัวสำคัญในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาสนใจในงานของเรา ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือบริการ

คุณชนม์พัฒน์ จิระเสวี หรือพี่ต๊อบ

        โดยวันที่ 8 มีนาคม 2559 คุณชนม์พัฒน์ จิระเสวี หรือ พี่ต๊อบ นักสร้างคอนเทนต์มืออาชีพที่มีประสบการณ์การทำงานมากว่า 15 ปี ได้มาเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า 

        พี่ต๊อบ ได้กล่าวไว้ว่า การที่เราจะสร้างคอนเทนต์ที่ดีอย่างมืออาชีพได้นั้น เราจะต้องมีความรู้ที่เยอะ และหาความรู้ใหม่ๆ ใส่ตัวของเราอยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนสมองของเรานั้นคือ "ตู้เย็น" ที่จะต้องมีอาหาร หรือวัตถุดิบ อยู่ในนั้นตลอด เพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับการที่จะถูกนำมาปรุงอาหาร ทำได้ทันเวลา และตรงต่อความต้องการของลูกค้า แต่ถ้าตู้เย็นของเรานั้นโล่ง หรือมีวัตถุดิบอยู่แค่ไม่กี่อย่าง เราจะต้องเสียเวลาไปตามหาวัตถุดิบเหล่านั้นมาประกอบอาหารให้ลูกค้า ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เราไม่มีความเป็นมืออาชีพ และลูกค้าก็คงไม่เลือกที่จะสั่งอาหารกับเรา

        ความเป็นมืออาชีพนั้น สามารถฝึกฝนได้โดยการใช้หลักการ "หัวใจนักปราชญ์" หลักการเก่าๆ เดิมๆ ที่ใช้ได้ผลทุกยุคทุกสมัย

สุ หรือ สุตต = การฟัง
จิ หรือ จินตน = การคิด
ปุ หรือ ปุจฉา = การถาม
ลิ หรือ ลิขิต = การเขียน

        การเป็นนักสร้างคอนเทนต์ที่ดีจะต้องขยันฟัง อย่าเลือกฟังแต่สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากฟังเท่านั้น แต่เราต้องฟังทุกอย่าง รู้จักฟังกว้าง รู้กว้าง ต่อเนื่องจากการฟังคือต้องนำมาคิด กระบวนการคิดแบบ Creative คือการคิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหาให้ลูกค้าให้ได้ และให้ตอบโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ หากไม่รู้ หรือสงสัยอะไรต้องถาม การตั้งคำถามนั้นเป็นหัวใจสำคัญ เพราะยิ่งถามเยอะ เราก็จะยิ่งได้ความรู้ ได้รู้อะไรใหม่ๆ หรือสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และยังให้เราทราบถึงความคิดของลูกค้า หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น หลังจากนั้นขั้นตอนสุดท้ายก็คือการเขียน เขียนทุกอย่างที่ได้มา และสรุปให้เป็นเรื่องราวผ่านตัวอักษร เป็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอน

        และอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญที่นักสร้างคอนเทนต์จะต้องรู้คือ ลูกค้า การเข้าถึงลูกค้าก็เหมือนกับการจีบสาว ต้องรู้จัก รู้ใจ และเอาใจ รู้จักสังเกตว่าลูกค้าของเรานั้นชอบอะไรไม่ชอบอะไร ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ สี อารมณ์ อุดมการณ์ และทัศนคติ นักสร้างคอนเทนต์ที่ดีนั้นต้องรู้จักรับฟัง ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆหรือสิ่งที่มีอยู่แล้ว และต้องนึกถึงต้นทุนการผลิตเป็นสิ่งสำคัญอีกด้วย